Community Development Department

ปรับขนาดตัวอักษร
ประวัติความเป็นมา

  กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย  

แนวคิดการพัฒนาชุมชนที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการพัฒนาในกลุ่มประเทศเครือจักรภพจากเดิมมาเป็น การพัฒนาที่เห็นว่าประชาชนเป็นแกนกลางของพลังขับเคลื่อนทางสังคม เมื่อแนวคิดการพัฒนาชุมชนนี้เผยแพร่ออกไปจนก่อเกิดเป็นปรัชญาเกี่ยวกับการทำ งานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างประชาชนกับรัฐบาลในการปรับปรุงสภาพความเป็น อยู่ซึ่งเรียกว่าขบวนการพัฒนาชุมชน ขบวนการดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาในประเทศไทยด้วยเช่นกัน

.

  ในปี พ.ศ. ๒๔๘๓ 
กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศใช้แผนการบูรณะชนบทพัฒนา โดยมีวัตถุประสงค์ ๒ ประการ คือ สร้างสรรค์ชีวิตจิตใจของประชาชนในชนบทให้เหมาะสมที่จะเป็นพลเมืองดี และส่งเสริมให้ประชาชนมีการครองชีพที่ดีขึ้น และได้จัดตั้งสำนักงานพัฒนาการท้องถิ่นขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาท้องถิ่น และมีการริเริ่มโครงการพัฒนาท้องถิ่นในปีถัดมาโดยมีปลัดพัฒนากรเป็นผู้ ปฏิบัติงานซึ่งเรียกกันในภายหลังว่าพัฒนากร

.

  ในปี พ.ศ. ๒๕๐๕
รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวงทบวงกรม ฉบับที่ ๑๐ และจัดตั้งกรมการพัฒนาชุมชนขึ้นเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทยเมื่อวัน ที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ ภารกิจในระยะแรกของกรมการพัฒนาชุมชนคือ ปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชนในชนบทโดยการมีส่วนร่วมของประชาชนและการพัฒนา ตนเอง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าพัฒนากรต้องทำงานกับประชาชน มิใช่ทำให้ประชาชน

  ประวัติของอำเภอจุฬาภรณ์ 
 เมื่อ พ.ศ.๒๓๑๐ กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า ทหารพม่าบุกรุกเข้าเผากรุงศรีอยุธยาเสียหายย่อยยับ ประชาชนพลเมือง และเชื้อสายเจ้าพระยามหากษัตริย์ ต่างก็หลีกหนีภัยไปคนละทิศละทาง บางพวกก็หนี เพื่อกู้บ้านกู้เมือง บางพวกก็หนีเอาตัวรอดในยามกรุง แตก มีเจ้านายชั้นหม่อมสององค์ นามเดิมไม่ปรากฏ แต่คนทั่วไป หรือพรรคพวก เรียกชื่อหม่อมองค์พี่ว่า "หม่อมเณรใหญ่ (ต้นตระกูลเณรานนท์) เรียกชื่อ หม่อมองค์น้องว่า “หม่อมเณรน้อย” (ต้นตระกูล ชัยพลบาล) พาลูกเมียและพรรคพวกหนีพม่าข้าศึกลงมา ทางทิศใต้ ประมาณ ๕๐๐ คน เดินทางล่องใต้มา ประมาณ ๕-๖ เดือน วันหนึ่งตอนเย็น หม่อมเณรใหญ่ สั่งให้พรรคพวกหยุดพักแรม พรรคพวกและคนใช้ได้ ช่วยกันทำเพิ่งพัก ตัดไม้พาดต้นมะขาม และมัดกับ ต้นจันทน์ ทำเป็นโครงหลังคามุงด้วยใบปิดช้าง ฝ่ายพวก ผู้หญิงที่ติดตามมา ก็จัดการหุงอาหาร แต่ไม่มีน้ำจะ หุงข้าว จึงต้องนอนท้องเปล่ากันทุกคน ตอนดึกทั้งหมด ได้ยินเสียงกงร้องมาทางทิศใต้ หม่อมเณรใหญ่รู้ทันทีว่า แหล่งน้ำคงอยู่ไม่ไกล เพราะสัตว์ชนิดนี้ขาดน้ำไม่ได้ จึงสั่งให้คนใช้ทำคบไม้ไผ่จุดไฟสว่าง เดินไปทาง เสียงกงร้อง ก็พบลำธารใหญ่น้ำใสสะอาด (คลองวังฆ้อง ปัจจุบัน) จึงตัดไม้ไผ่เป็นกระบอกตักน้ำมาปรุงอาหาร ได้กินกันในคืนนั้น รุ่งเข้าหม่อมทั้งสอง เดินสำรวจบริเวณรอบที่พัก เห็นเป็นภูมิประเทศที่เหมาะสมสำหรับตั้งบ้านพักอาศัย อย่างถาวรได้ จึงประชุมพรรคพวกและลูกๆ เพื่อแจ้ง แนวความคิดจะสร้างบ้านให้ทราบ ลูกของหม่อมเณร ใหญ่มี ๒ คน คือ หม่อมไพนารถ และหม่อมไพบูลย์ (หม่อมบุญก็เรียก) ลูกของหม่อมเณรน้อยชื่อ หม่อม ชัยพลบาล เมื่อมาพร้อมกันหมดแล้ว หม่อมเณรใหญ่ ก็แจ้งให้ทราบว่า ทั้งหมดที่ติดตามมานี้ให้ช่วยกันออก สำรวจพื้นที่สำหรับทำนา เพราะข้าวเป็นอาหารหลัก ตกลงกันเสร็จ หม่อมลูกทั้งสามก็แบ่งพรรคพวกออกไป หาพื้นที่เหมาะแก่การทำนา หม่อมไพนารถ พาพรรคพวกไปทางทิศอิสานให้ บ่าวไพร่ถางป่าเบิกนา และตั้งบ้านพักที่นั้น (บริเวณ หมู่ที่ ๑ บ้านวังใส สามตำบล) ทุ่งนาที่บุกเบิกได้คือ บริเวณทุ่งห้วยยาง ห้วยยม ทุ่งวังไส ฯ ส่วนที่พักหม่อม ไพนารถ ปัจจุบันเรียก บ้านเก่าไพนารถ หม่อมไพบูลย์ (หม่อมบุญ) พาพรรคพวกไปทาง ทิศใต้ ได้พบพื้นที่เหมาะแก่การทำนา (บริเวณหมู่ ๒ ต.นาหมอบุญ) จึงสั่งให้พรรคพวกทำที่พักอาศัย (ปัจจุบันเรียก บ้านในวัง ริมคลองนาหมอบุญ ต. ควนหนองหงส์ อ.ชะอวด) และได้บุกเบิกที่ดินสำหรับ ทำนาหลายแห่งหลายทุ่ง เช่น ทุ่งนาหมอบุญ ทุ่งบ้านรั้ว ทุ่งลานควายฯ หม่อมชัยพลบาล ได้พาลูกน้องพรรคพวกไปทาง ทิศตะวันออก ได้พื้นที่เหมาะแก่การทำนา มีหลาย แห่ง หลายทุ่งเช่นกัน มีทุ่งห้วยหุ่น ทุ่งไสใหญ่ ทุ่งลาน ควาย ทุ่งข่าฯ ลูกน้องและพรรคพวกหม่อมชัยพลบาล ให้ทำที่พักริมลำธาร สร้างที่พักอย่างถาวร (ปัจจุบันชื่อ บ้านต้นเหรียง) ส่วนหม่อมชัยพลบาล กลางคืนกลับ ไปนอนกับหม่อมพ่อและหม่อมลุง ณ ที่พักแห่งแรก เพราะหม่อมทั้งสองอยู่ในวัยชรา ที่พักแห่งแรกนี้ได้ทำเป็นบ้านขึ้นอย่างถาวรเพราะ ไม้หาไม่ยากเหมือนสมัยนี้ เพื่อเป็นเกียรติแก่หม่อม ทั้งสอง พรรคพวกและคนทั่วไปเรียกว่า วัง สารนครศรีธรรมราช ๒๑ เมื่อหม่อมเณรใหญ่ต้องการประชุม ลูกน้องและ ลูกๆ ก็ต้องใบใหญ่เป็นสัญญาณ ต่อมาวังนี้ก็เรียก ชื่อใหม่ว่า “วังฆ้อง” เมื่อหม่อมพ่อทั้งสองถึง อสัญญกรรม หม่อมลูกจึงถวาย "วังฆ้อง” ให้เป็นวัด จัดพระสงฆ์มาประจำพรรษา อัฐิของหม่อมทั้งสอง ก่อเป็นเจดีย์บรรจุไว้ที่กลางวัด องค์ทิศเหนือเจดีย์บรรจุ อัฐิของหม่อมเณรน้อย องค์ทิศใต้เป็นของเณรใหญ่ และ วัดก็มีชื่อว่า "วัดวังฆ้อง” ตั้งแต่เริ่มต้นจนปัจจุบัน (เจดีย์ หม่อมเณรใหญ่ถูกขุดถูกทำลายหมด) เมื่อต้นรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอม เกล้าอยู่หัว ครองราชย์ได้จัดการปกครองประเทศ แบ่ง เป็นหัวเมือง อำเภอ แขวง ทางราชการ ได้จัดเอา สถานที่ทั้ง ๓ แห่ง คือ วังไส, วังฆ้อง, นาหมอบุญ, เป็นแขวงสามตำบล (สมัยโบราณแหล่งชุมชนที่มีคนอยู่ มากพอสมควร เขาเรียกว่า "ตำบล" ตลอดมา

  ในปี พ.ศ. ๒๕๓๗

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกา ตั้งอำเภอเพื่อประโยชน์แก่การปกครอง และความ สะดวกของประชาชนเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๓๗ และได้รับพระราชทานพระอนุญาตให้ใช้พระนาม ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ วลัยลักษณ์ฯ เป็นชื่ออำเภอโดยได้ทำพิธีเปิดอำเภอ และ เริ่มบริการประชาชนเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๓๗ พื้นที่บริเวณที่ตั้งอำเภอจุฬาภรณ์ปัจจุบัน คือ

ตำบลสามตำบล โดยมีประวัติว่าหมายถึง สามวัง ได้แก่ วังฆ้อง วังใส และวังนาหมอบุญ ซึ่งทั้งสามวังเป็นที่อยู่ อาศัยของเชื้อพระวงศ์แต่โบราณ ที่ได้เข้ามาบุกเบิกตั้ง ถิ่นฐานยังบริเวณนี้ต่อมาเมื่อยุคหนึ่งในอดีต

ตำบลทุ่งโพธิ์ ซึ่งแยกมาจากตำบลควนเกย (ส่วนหนึ่งของตำบลร่อนพิบูลย์)

ตำบลควนหนองคว้า ที่รวมหมู่บ้านที่แยกมาจาก ตำบลควนเกย ตำบลควนชุม และตำบลควนพัง อำเภอร่อนพิบูลย์ 

ตำบลนาหมอบุญ 

ตำบลบ้านชะอวด และตำบลบ้านควนมุด ที่แยกมาจากอำเภอชะอวด 

พื้นที่แถบนี้ กลายเป็นเขตเคลื่อนไหวและต่อสู้ของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ทำให้บริเวณนี้ซึ่งทุรกันดารอยู่ แล้ว ต้องประสบกับปัญหาด้านความมั่นคงและ ความสงบเรียบร้อยเพิ่มขึ้นอีก นอกจากนี้การพัฒนาและ การบริการของทางราชการก็ไม่สามารถเข้าถึงยังจุดนี้ได้

.

.

กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย
ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ชั้น 5
ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่
กรุงเทพมหานคร

.

อ้างอิงที่มา : https://finearts.go.th/storage/contents/2023/05/file/z1JIUsZFUGTzQdY8sjfZ3W3kVZ3Tfnp6E2QNClgb.pdf

X-Twitter Line QRCode

คะแนนโหวต :

0